ประวัติและเรื่องย่อ “ลัยลากับมัจนูน” นิทานพื้นบ้านอาหรับที่โด่งดัง

38
ภาพวาดที่เก่าแก่ที่สุดที่แสดงเรื่องราวของลัยลากับมัจนูนสามารถสืบย้อนกลับไปได้ถึงช่วงกลางศตวรรษที่ 18 หนึ่งในนั้นคือภาพพิมพ์หินเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 1856 โดย เบฉารัม ดาส ดุตตา จากแคว้นเบงกอลตะวันตก เมืองกัลกัตตา ภาพพิมพ์นี้แสดงให้เห็นการพบกันของลัยลาและมัจนูนในทะเลทราย โดยลัยลาไปเยี่ยมมัจนูนที่ซูบผอมใต้ต้นไม้ใหญ่ ภาพพิมพ์หินนี้มีความสำคัญเนื่องจากเป็นการใช้เทคนิคนี้ในช่วงต้นๆ ในเมืองกัลกัตตาและเป็นส่วนหนึ่งของคอลเลกชันของพิพิธภัณฑ์เมโทรโพลิทันเช่นกัน

ลัยลากับมัจนูน” (Layla and Majnun) เป็นนิทานพื้นบ้านอาหรับที่ได้รับความนิยมมากในแถบตะวันออกกลางและเอเชียกลาง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเรื่องรักที่โด่งดังที่สุดของวรรณคดีเปอร์เซียและอิสลาม ตำนานนี้เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 7 ในคาบสมุทรอาหรับ มีหลายเวอร์ชั่นและการดัดแปลงที่แตกต่างกันไปตามยุคสมัยและวัฒนธรรมต่าง

เรื่องราวของลัยลาและมัจนูนได้รับการถ่ายทอดและแพร่หลายในวรรณคดีหลายภาษารวมถึงเปอร์เซีย, อาหรับ, ตุรกี, อินเดีย และอื่น หนึ่งในเวอร์ชั่นที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดคือผลงานของ นิซามี คันจาวี (Nizami Ganjavi) นักกวีชาวเปอร์เซียในศตวรรษที่ 12 ที่เขียนมหากาพย์เรื่องลัยลากับมัจนูนซึ่งกลายเป็นการเล่าเรื่องที่ถูกนำมาใช้บ่อยที่สุด วรรณกรรมของนิซามีได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานที่สร้างความลึกซึ้งและศิลปะการประพันธ์ที่ยิ่งใหญ่ให้กับเรื่องราวนี้

เรื่องย่อ

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในคาบสมุทรอาหรับ คัยส์ (Qays) ซึ่งเป็นลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้าน เป็นเด็กหนุ่มที่ฉลาดและมีพรสวรรค์ในการแต่งกลอน เมื่อเขาได้พบกับลัยลา (Layla) หญิงสาวที่สวยงามและมีเสน่ห์ ทั้งสองต่างหลงรักกันตั้งแต่แรกพบและความรักของพวกเขาก็ได้เติบโตขึ้นเรื่อย

อย่างไรก็ตาม ครอบครัวของลัยลาไม่ยอมรับความรักนี้ และห้ามไม่ให้ลัยลาแต่งงานกับคัยส์ พวกเขาตัดสินใจให้ลัยลาแต่งงานกับชายอื่นที่มีฐานะและตำแหน่งที่ดีกว่า การถูกแยกจากกันอย่างฉับพลันนี้ทำให้คัยส์เจ็บปวดใจอย่างมาก เขาเริ่มแต่งกลอนรักและร้องเพลงถึงลัยลาในทุกที่ที่ไป ความรักที่ไม่สมหวังทำให้เขากลายเป็นมัจนูน” (Majnun) ซึ่งในภาษาอาหรับหมายถึงคนบ้าหรือคนที่หลงใหลในความรักอย่างล้นพ้น

ภาพวาดที่เก่าแก่ที่สุดที่แสดงเรื่องราวของลัยลากับมัจนูนสามารถสืบย้อนกลับไปได้ถึงช่วงกลางศตวรรษที่ 18 หนึ่งในตัวอย่างที่มีชื่อเสียงคือภาพวาดที่มาจากอิหร่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเมืองชีราซ ภาพวาดนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงเวลานั้นและเป็นส่วนหนึ่งของชุดภาพวาดที่ออกแบบมาเพื่อประดับห้อง โดยแต่ละภาพจะเล่าเรื่องราวความรักที่มีชื่อเสียงของวรรณกรรมเปอร์เซีย ในภาพวาดนี้ มัจนูนถูกแสดงให้เห็นในฐานะเด็กหนุ่มที่ผอมโซและอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ท่ามกลางสัตว์ป่า หลังจากที่การขอแต่งงานกับลัยลาของเขาถูกปฏิเสธ ลัยลาในภาพวาดนี้แต่งกายในชุดที่เป็นแบบแผนของยุคซานด์ (1750–79) ภาพวาดนี้ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของคอลเลกชันของพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน

มัจนูนใช้ชีวิตอยู่ในทะเลทราย เขาไม่สนใจสิ่งอื่นใดนอกจากความรักที่มีต่อลัยลา เขาเดินทางเร่ร่อนไปในทะเลทรายแต่งกลอนและพูดคุยกับสัตว์ป่าเพื่อแสดงออกถึงความรักและความเจ็บปวดทางจิตใจที่เขามีอยู่ ผู้คนรอบข้างต่างเห็นใจและพยายามช่วยเหลือ แต่ไม่มีใครสามารถทำให้มัจนูนลืมลัยลาได้ ในขณะเดียวกัน ลัยลาก็ต้องทนทุกข์จากการแต่งงานที่ไม่สมหวัง เธอใช้ชีวิตอย่างเศร้าโศกและเจ็บปวดใจ

ในที่สุด ลัยลาก็ล้มป่วยและเสียชีวิตลงจากความเศร้าโศกและความคิดถึงที่มีต่อมัจนูน เมื่อมัจนูนรู้ข่าวนี้ เขาก็โศกเศร้าอย่างหนักและเดินทางไปยังหลุมศพของลัยลา เขานอนอยู่ข้างหลุมศพของเธอและร้องไห้จนกระทั่งเขาเองก็เสียชีวิตในที่สุด ความรักที่ไม่สมหวังของทั้งสองกลายเป็นตำนานและแรงบันดาลใจให้กับนักกวี, นักเขียน, นักดนตรี, และศิลปินหลายรุ่น

เรื่องราวของลัยลากับมัจนูนเป็นตำนานที่สะท้อนถึงความรักอันยิ่งใหญ่และความเจ็บปวดที่มาจากการรักโดยไม่มีความสมหวัง มันได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักกวี, นักเขียน, นักดนตรี, และศิลปินหลายรุ่นและยังคงได้รับความนิยมจนถึงปัจจุบัน

นิทานนี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องราวความรักที่โรแมนติกเท่านั้น แต่ยังเป็นการสอนให้เรารู้จักค่าของความรักที่แท้จริงและความเจ็บปวดที่เกิดจากความรักที่ไม่สมหวังลัยลากับมัจนูนยังเป็นเครื่องเตือนใจให้เราตระหนักถึงความสำคัญของการเข้าใจและยอมรับความรู้สึกของคนรอบข้างและการทำตามใจของตัวเองในความรัก

เรื่องราวของลัยลากับมัจนูนยังได้รับการแปลงเป็นผลงานทางศิลปะหลายประเภท เช่น บทกวี, วรรณกรรม, ภาพยนตร์, ละครเวที, และดนตรี ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นอมตะและความสำคัญของเรื่องราวนี้ในวัฒนธรรมต่าง ทั่วโลก